Sunday, April 4, 2010

where


มันเหมือนภาพซ้ำซ้อน ที่สะท้อนเข้ามาหลายต่อหลายครั้ง
ความรู้สึกที่คุ้ยเคย แต่ก็ไม่เคยชิน...

ตวามเจ็บปวด...

ในโลกนี้ มีความเจ็บปวดอันใด ที่ มากมายทรมารไปกว่า เจ็บเพราะ รัก อีกหรือ
ไม่ใช่แค่ รักของหนุ่มสาว แต่ทั้งหมด,,,พ่อแม่ รักลูก รักเพื่อน แม้แต่รักตัวเอง ก็เจ็บปวดได้หากสัดส่วนของมันไม่ลงตัว

ฉันเกิดมาในโลกใบเล็กๆที่มองเห็นความรักหลายรูปแบบ แบบแรกที่เห็นก็คือความรักที่ไม่สมประกอบ
ความรักที่มีแต่น้ำตา แย่งชิง ฉันคิดในหัวเสมอว่า หากเมื่อไหร่ที่ฉันมีความรัก ความรักของฉันจะสมบูรณ์แบบ
ฉํนจะดูแลมันให้ดีที่สุด,,,ใช่ และฉันก็ทำเช่นนั้นจริงๆ และ ตลอดมา...

แต่โลกใบที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆของฉัน สอนให้รู้ว่า "มึงคิดผิด" ไม่มีหรอกความรักที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีฉากจบแบบhappy ending ในโลกนี้มีแต่ความรักที่พอเหมาะและลงตัว ที่ดูจะสมบูรณ์ที่สุดในแบบของแต่ละคน

ฉันเชื่อ...และดูแลความรักให้พอดีอยู่เสมอ
แต่ ใช่ว่า คำว่า พอดี จะ ดีพอ สำหรับทุกคน

ไม่ว่าจะผิดหวัง เสียใจ มาไม่รู้กี่ครั้ง ฉันก็ตั้งใจที่จะทำให้ดีที่สุดกับความรักครั้งใหม่ที่เข้ามา
แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่ทำไปไม่มีคุณค่าอะไรขึ้นมา มันอาจมีคุณค่าแค่ในช่วงเวลาหนึ่ง อาจจะสองสามปี หรือ แม้แต่ สองสามวัน แต่หลังจากนั้นมันจะหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเสมอ....เพราะอะไร ทำไม คำถามโง่ๆที่ดังขึ้นมาในหัวทุกครั้ง..

เหนื่อย...

หากการที่เชื่อมั่นในความรัก มันเป็นการทำร้ายตัวเองอยู่ทุกวัน ฉันจะเชื่อมันอยู่ดีไหม?
หรือต้องทำหัวใจให้ด้านชาต่อความรู้สึกทั้งมวล...ไม่หวั่นไหว ไม่อ่อนไหว ไม่อ่อนแอ
...ทำได้จริงหรือ

หรือยิ่งพยายามบอกตัวเองว่า ฉันไม่อ่อนไหว ฉันไม่อ่อนแอ ฉันไม่มีความรัก ก็ยิ่ง อ่อนไหว มากกเท่านั้น...
ในชีวิตคนเราหากปราศจากความรักมันจะเป็นยังไง อย่างน้อย เราก็ต้องรักตัวเองบ้างอย่างนั้นใช่มั้ย
หรือ รัก ที่จะเล่นเกมความรัก ... แล้วจะต้องเล่นกันไปถึงเมื่อไหร่ จะต้องเจ็บ ต้องโดนทำร้าย หรือ ทำร้ายหัวใจใครไปอีกเมื่อไหร่...

ถ้าในโลกนี้ไม่มีความรักที่แท้จริง..หรือไม่มีใครต้องการ ฉันคงจะเกิดมาผิดที่ และ ไม่มีประโยชน์
หรือที่แท้มีอยู่มากมาย เพียงแต่ ไม่มีสำหรับฉัน... หากเป็นอย่างนั้น การไม่รักใครอีก ก็อาจจะเป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่...

คนเราเกิดมา จะรู้สึกรักใครจริงๆ และคิดว่ามันเป็นรักแท้ได้สักกี่ครั้ง.,,ฉันเคยมาแล้ว และมัน คงไม่มีความหมายอะไรอีก...



...............

Thursday, March 11, 2010

เหงา


เหงา,,,

ความรู้สึกที่แสนสาหัส...แต่ก็สวยงาม

บางที...สิ่งที่เราเป็นก็แค่ อยากมีใครสักคนที่ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง
ใครสักคน ที่ยิ้มและบอกเราว่า ไม่เป็นไร
ไม่ได้ต้องการความรัก ไม่ได้อยากผูกมัด ไม่ได้อยากเป็นคนสำคัญ
แต่อยากได้ความจริงใจ...

ความรู้สึกที่แน่ใจ ว่ารอยยิ้ม สัมผัส คำพูด อ้อมกอด รอยจูบ ...เหล่่านั้นมาจากหัวใจ
มันมีค่ายิ่งกว่าคำสัญญาหรือคำรักนับพันล้านคำรวมกัน...

มันจะมีจริงไหม?

ทำไมเมื่อเรามอบความจริงใจให้ใครไป แต่เรากลับไม่ได้ความจริงใจนั้นกลับมา...
เมื่อก่อนฉันเคยเชื่อว่า...หากเราตั้งใจทำดีกับใครๆ มอบความรู้สึกดีๆจากใจไปให้พวกเขา
พวกเขาจะรับรู้ได้ และ มอบความจริงใจให้กับเราเช่นกัน

แต่แล้วกลับต้องเจ็บ ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก...
หรือฉัน ควรต้องหยุดแล้ว...

หยุดนิ่ง

...

Sunday, November 1, 2009

ทางเลือก




เผลอแป็บเดียว กระดาษบนปฎิทินตั้งโต๊ะที่ยังดูใหม่ก็เหลือให้ฉีกออกอีกสองสามแผ่นเท่านั้น กลิ่นหอมชื่นใจแปลกๆของดอกพญาสัตบัน เคล้าลมหนาวอ่อนๆพัดมาเหมือนทุกที ไกล้จะสิ้นปีอีกแล้วสินะ...
มนุษย์สมมุติข้อกำหนดในการเดินทางของเวลา ด้วย วัน เดือน ปี อันที่จริงมันก็เป็นเพียงแค่ การเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติเท่านั้น เคยอ่านเรื่องสั้นของนักเขียนท่านหนึ่ง เล่าถึงที่เขาเคยเขียนไว้ในสมุดบันทึกว่า "ฉันจะไม่เปลี่ยนแปลง" ประโยคสั้นๆแต่ช่างกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวเหลือเกินในความรู้สึกของฉัน ซึ่งบังเอิญว่าฉันก็เคยทำเช่นนั้น แต่ไม่อาจทำตามที่เคยเขียนไว้ได้ เป็นเพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอด แม้แต่ตัวเรา ไม่่ใช่เพราะมีปัจจัยนอกเหนือการควบคุมมาบังคับเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเราเลือกที่จะเปลี่ยนเอง..
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะทำได้ เราได้ยินประโยคนี้จนชินหู ฉันคิดว่ามันเป็นความจริงทีเดียว คนเรามีทางเลือกเสมอ อยู่ที่เราตัดสินใจ บางคนชอบพุดว่า "ไม่มีทางเลือก" แต่อาจจะเป็นเพราะ เขาได้ เลือก ที่จะคิดว่ามันไม่มีทางออกอย่างอื่นอีกแล้วรึเปล่า คำสอนของพระพุทธเจ้าในพุทธศาสนา สอนให้คนเรามีสติ คงเพราะชีวิตมีแต่การเลือกและตัดสินใจนั่นเอง หากมีสติ ปัญญาก็จะเกิด และสามารถตัดสินใจในสิ่งที่เหมาะที่ควรได้ ฟังดูเหมือนการเลือกเป็นสิ่งลำบากสำหรับชีวิต แต่ถ้าหากชีวิตไม่สามารถเลือกอะไรได้เองเลย มันจะแย่ขนาดไหน เอาแค่เรื่องเล็กๆอย่างเช่น เย็นนีิ้จะทานอะไรดี ต้องเกิดคำถามขึ้นมาแล้วว่า มีอะไรบ้าง..? และพอมีเยอะก็เลือกไม่ถูก ไม่อยากเลือก(ไม่มีอะไรพอดีจริงๆ)
อย่างไรก็ตาม การได้เลือกหรือไม่ได้เลือก ก็ไม่ได้ดีหรือไม่ดีเช่นกัน เราแค่ดำเนินชีวิตไปตามจังหวะของแต่ละคน และเมื่อถึงเวลาที่จะตัดสินใจ หรือจัดการเรื่องอะไร เราก็แค่ทำให้ดีที่สุด เลือกที่จะสุข เลือกที่จะทุกข์ เลือกทีจะมองทุกอย่างในแง่บวกหรือลบ สิ่งที่เราเลือก ย่อมมีผลกับจิตใจและความรู้สึกของเราเองทั้งหมด หากคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา มันก็จะธรรมดา และเราก็จะผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคในชีวิต ต่างๆไปได้อย่างแน่นอน
พระอาทิตกำลังจะขึ้นที่ขอบฟ้าในอีกมีกี่นาที กระเป๋าเดินทางใบเก่าอวบอ้วนขึ้นอีกครั้ง รองเท้าผ้าใบคู่ใจประจำอยู่ในที่ของมัน สูดหายใจผ่านยาเส้นชื้นๆ พ่นออกมาเป็นกลุ่มควันบางเบา รู้สึกชุ่มหัวใจเหลือเกิน แม้ใครๆจะพูดว่าสิ่งที่ฉันเป็นนั้นล่องลอยไร้สาระและไม่มั่นคง แต่ฉันก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ฉันได้เลือกเอง ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ฉันก็พร้อมที่จะรับมัน และอาจมีหนทางให้เลือกอีกมากมาย ไม่เพียงแค่ฉัน แต่เป็นเราทุกคน ...แค่ปล่อยให้หัวใจออกเดินไปกับทางเลือกที่เราคิดว่าดีสำหรับตัวเราและยิ้มไปกับมัน..

คิดถึงทุกปี


คิดถึงทุกปี..
(บินหลา สันกาลาคีรี)

ย้อนไปเมื่อสักสองปีมาแล้ว ครั้งแรกที่ฉันได้รู้จักกับหนังสือที่มีชื่อว่า " คิดถึงทุกปี " พ็อกเก็จบุ๊คขนาดกำลังดี รวมเรื่องสั้นของนักเขียนรางวัลซีไรท์ นามว่า บินหลา สันกาลาคีรี เป็นเพราะมันถูกวางแยกออกจากกลุ่มกองหนังสือมากมายในออฟฟิสที่กรุงเทพ และฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่สะดุดตาที่ชื่อหนังสือ จึงทำให้ต้องหยิบขึ้นมาพลิกดูอย่างคร่าวๆ ยังไม่ทันที่จะได้อ่านหน้าแรกอย่างจริงจัง หนังสือในมือของฉันก็ถูกนำไปห่ออย่างประณีตด้วยกระดาษสีน้ำตาลและบรรจุลงกล่องพัศดุส่งไปรษณีย์พร้อมส่งไปยังต่างประเทศ โดยพี่สาวคนสนิทคนหนึ่ง เธอบอกว่า เธอกำลังจะส่งหนังสือเล่มนี้ ให้่กับเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่อยู่ไกลและไม่ได้พบเจอกันมาหลายปี แต่ก็คิดถึงเสมอ การรู้จักชื่อหนังสือเพียงผิวเผินในวันนั้นกลับทำให้ฉันสนใจอยากจะรู้ว่าในหนังสือเล่มนี้มีเรื่องราวแบบไหนซ่อนอยู่ แต่ที่แน่ๆคงจะต้องเกี่ยวกับคำว่า "คิดถึง"คำสั้นๆแต่ใจความลึกซึ้งอย่างแน่นอน
ฉันพบหนังสือเล่มนี้วางอยู่ในร้านเล็กๆที่จังหวัดเชียงใหม่จึงไม่รั้งรอที่จะนำมันกลับมาบ้านด้วย และได้เริ่มอ่านอย่างตั้งใจและประทับใจตั้งแต่บรรทัดแรกของบทนำคือ

ข้าพเจ้า "รัก" คำว่า"คิดถึง"
และมักจะ"คิดถึง"คำว่า"รัก"

เมื่อเริ่มต้นอ่านตั้งแต่บทแรกจนบทสุดท้าย ต้องบอกว่าเป็นหนังสือที่ทั้งอ่านสนุกน่าติดตาม ด้วยการดำเนินเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ ภาษาถ้อยคำที่ใช้ ทำให้ผู้อ่านนึกจินนาการณ์ภาพในหัวตามได้อย่างสนุกสนาน และการจบเรื่องหลายๆแบบ หักมุมบ้าง ชุ่มชื่นหัวใจบ้าง ตั้งคำถามบ้าง แต่ยังคงกลิ่นอายเฉพาะตัวของผู้เขียนอยู่ในทุกบรรทัด เรื่องสั้นแต่ละเรื่อง ส่วนมากพูดถึงความสัมพันธ์ในหลากแง่มุม มีความหมายแฝงแง่คิดดีๆ ในหลายๆด้าน แต่โดยส่วนมากจะเจือปนความรุ้สึกเศร้าเหงาอยู่ด้วยอย่างบอกไม่ถูก ยกตัวอย่างหนึ่งในเรื่องสั้น ชื่อว่า "สัตว์สองนอ" พูดถึงแง่คิดเกี่ยวกับความถูกต้องของแต่ละคน ทำให้เราตั้งคำถามกับตัว เองว่า สิ่งที่เรามองว่าถูกนั้นเป็นความถูกต้องที่แท้จริงหรือ? หรือแม่แต่สิ่งที่เรามองว่าผิด มองว่าเพี้ยน มองว่าแปลกแท้จริงตัวเราเองหรือเปล่าที่ผิด และยังแฝงแง่คิดในการหันมามองตัวเอง พิจรณาตัวเองอย่างยอมรับในความจริง และยอมรับในความคิดของคนอื่น เรื่องสั้น "สัตว์สองนอ"ได้รับรางวัลชมเชยเรื่องสั้นประจำปี ในปี พ.ศ.2537 ของสมาคมภาษาและหนังสืออีกด้วย
ขอยกตัวอย่างอีกสักเรื่องที่มีชื่อเดียวกับหนังสือคือ"คิดถึงทุกปี"เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความรักความสัมพันธ์ ประโยคหนึ่งในเรื่องที่พูดว่า

" การทะนุถนอมคนที่เรารักมันเป็นเรื่องปรกติ แต่การถนอมหัวใจคนที่เราไม่ได้รัก ใครจะทำได้สักกี่หน "

ประโยคข้างต้นทำให้ฉันได้ฉุกคิดว่า หัวใจคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ซ้อนและลึกลับยิ่งกว่าสิ่งไหน สิ่งที่เรามองเห็น อาจะไม่ใช่สิ่งที่เราคิดว่าเป็นอยู่ เพราะบางอย่างไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา แต่หากต้องใช้ควารู้สึก ใช้ใจในการรับรู้ และอาจตั้งคำถามอีกว่า เราจะเลือกคนที่ทะนุถนอมเราหรือเราจะเลือกคนที่รักเรา อย่างไรก็ตาม แม้ในความลึกซึ้งทั้งสองรูปแบบจะมีความเจ็บปวดลึกๆซ่อนอยู่ แต่ก็ถือเป็นสิ่งดีที่จะได้รับการทะนุถนอมหรือความรักจากใครสักคน นอกจากนี้ยังมีเรื่องสั้นหลากอารมณ์อีกรวมทั้งหมด 9 เรื่อง เมื่ออ่านจบครบทุกเรื่องแล้วจะได้รับความเต็มอิ่มทั้งในด้านอารมณ์และแง่คิดอย่างแน่นอน และจะเป็นหนังสือที่ฉัน (และค่อนข้างมั่นใจว่าคุณและใครอีกหลายคนก็เช่นกัน) จะต้องหยิบมาอ่านซ้ำๆอย่างไม่รู้เบื่อแน่นอน

ไม่ว่าจะ เพราะคิดถึงจึง รัก หรือ รักจึงคิดถึง หรืออาจจะ ขอแค่ คิดถึงก็แล้วแต่ ฉันเชื่อว่าการให้ความรู้สึกดีๆต่อกันนั้นเป็นสิ่งที่ดีไม่ว่าจะแสดงออกให้รับรู้ หรือ เก็บเอาไว้ในส่วนลึกของจิตรใจก็ตาม ไม่ว่าอย่างไร เราก็ระรึกเสมอ ว่าเรามีใครทีเรา

"คิดถึงทุกปี"


(ps.ตีพิมพ์ใน HIP Magazine ฉบับ กันยายน 2552)

Wednesday, July 29, 2009

Journey

“ ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ รถเที่ยว ๑๔ นาฬิกา ที่จะเดินทางจากขนส่งอาเขต จังหวัดเชียงใหม่ ไปยังปลายทางที่จังหวัดเชียงราย พร้อมแล้วที่จะบริการทุกท่าน ....”
มีหลายคนเคยเปรียบเปรยไว้ ชีวิต คือการเดินทาง ทุกๆ ย่างก้าว คือประสบการณ์และการเรียนรู้ ความสุข ความทุกข์ คือสัมภาระที่เราสะสมไว้ แบกไว้ ทุกแผลเป็น ทุกรอยขีดข่วนจากการก้าวพลาด คือ ความทรงจำ เส้นทางของแต่ละคนคดเคี้ยวต่างกัน บางคนเกิดมาดูช่างมีความสุขแต่ใครจะรู้ว่าความทุข์อาจซ่อนตัวอยู่ หรือบางคนท่าทางลำบากแสนทุกข์ แต่ความสุขเบ่งบานทุกวันแค่เพียงได้เห็นดอกไม้บาน...ความสุข....ความทุกข์ สิ่งสมมุติ ที่เราใช้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนสัมภาระที่เราเลือกที่จะแบกเอาไว้จนหนักอึ้ง และพร่ำบอกตัวเองว่ามันทรมาร ตีโพยตีพาย ฟาดฟัวฟาดหางถึงความทุกข์ต่างๆ ทั้งๆ ที่ก็แค่ปลดมันออก ทิ้งมันไปบ้าง ก็เท่านั้น เพราะเมื่อเราถึงวาระของเรา เราก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง วาระ นั้นคือ ความตาย การดับสูญ จุดจบ แล้วแต่ใครจะถนัดเรียก แต่ความตายคือ
จุดจบจริงหรือ...
ช่วงชีวิตในระยะนี้ของฉันวนเวียนอยู่กับ “ความตาย” บ่อยพิลึก เริ่มตั้งแต่พี่ชายจากไปอย่างกระทันหันด้วยโรคความดัน ทั้งที่อายุแค่เพียง ๓๐ ต้นๆ ทิ้งให้ภรรยาตัวเล็กๆ เลี้ยงลูกน้อยสองคนเพียงลำพัง สองอาทิตย์หลังจากงานฌาปณกิจพี่ชายของฉัน คุณปู่อันเป็นที่รักก็จากไปด้วยโรคเบาหวานและโรคชรารุมเร้า เห็นได้ชัดว่าเส้นทางของแต่ละคนสั้นยาวไม่เท่ากันจริงๆ ฉันสงสัยว่าหลังจากหยุดหายใจพวกเขายังคงเดินทางต่ออีกไหม หรือเพียงแค่หยุด ดับไป เพียงแค่นั้น
ระหว่างทางนั่งรถจากจังหวัดเชียงใหม่ไปยังจังหวัดเชียงราย เพื่อทำธุระการงานนั้น เส้นทางคดเคี้ยว หลายโค้ง แทบจะไม่มีทางตรงให้รถได้วิ่ง บางช่วงบางตอนต้องขึ้นเนินเขาถนนแคบขรุขระ ระหว่างทอดสายตามองทิวเขาและทุ่งนาที่ถนนตัดผ่าน ฉันระรึกได้ว่า ชีวิตคนเราก็คล้ายกับการเดินทาง เพียงแต่การเดินทางในวันนี้ ฉันสามารถกำหนด วัน เวลา จุดมุ่งหมาย แถมยังกำหนดได้ว่าจะเลือกเดินทางด้วยตั๋ววีไอพีเพื่อสร้างความสะดวกสบายขึ้นอีกหน่อย แต่สำหรับการมีชีวิต หรือแม้แต่ความตาย เราไม่สามารถกำหนด วันไป วันกลับ หรือ จุดหมายได้เลย
“ท่านผู้โดยสารคะ เรากำลังนำท่านสู่จุดหมายปลายทาง ที่จังหวัดเชียงราย ขอขอบคุณที่ทุกท่านใช้บริการและหวังว่าเราจะมีโอกาศได้ให้บริการท่านอีกในครั้งต่อไป..ขอบคุณค่ะ”
การเดินทางสำหรับวันนี้ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่การเดินทางของชีวิต ยังคงดำเนินต่อ โดยที่ฉันยังมองไม่เห็นจุดหมายสักเท่าไหร่และไม่แน่ใจว่า จะมีการใช้บริการในครั้งต่อไปของการเดินทางนี้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรฉันก็เชื่อว่าฉํนคงพบจุดหมายที่แท้จริงสักวันอย่างแน่นอน
...หวังว่ายังคงพอมีเวลาเหลือนะ

Thursday, May 14, 2009

สุญเสีย..

เป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตย่อมมีการสูญเสีย ลาจาก เสียใจและบางครั้งอาจจะมีน้ำตา ฉันไม่เข้มแข็งพอ ที่จะอดกลั้นความรู้สึกเหล่านั้นไว้ได้เลย ไม่เลยสักครั้ง แม้จะพยายามแค่ไหน ฉันอ่อนแอเหลือเกิน...

คนที่ฉันรักเพิ่งจะจากไป..และ ณ ขณะ นี้ คนที่ฉันรักอีกคน อาจจะกำลังจะจากไปอีก หัวใจว้าวุ่นเหลือเกิน น้ำตาไหล ความอ่อนแอครอบงำ ทำไมฉันถึงทำให้มันเป็นแค่ปรากฎการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิตไม่ได้ ฉันอ่อนแอจริงๆ

ได้โปรด..ฉันอาจยังไม่พร้อมต้อนรับความเจ็บปวดอีกครั้ง...อย่าเพิ่งได้ไหม อย่าเพิ่งพาคนที่ฉํนรักไป รอฉันก่อน ได้โปรด...แค่ ไม่ใช่คอนนี้

....อ่อนแอเหลือเกิน

Tuesday, April 28, 2009

จดหมาย

27/04/2009
เชียงใหม่

จดหมายถึงพี่ชาย..

พี่หนึ่งคะ นับตั้งแต่แนนได้รับข่าวการจากไปของพี่หนึ่ง จนถึงวันนี้ แนนยังไม่อยากจะเชื่อว่า มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ พี่ชายที่น่ารัก ใจดี ห่วงใยน้องๆเสมอ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้พบกัน แต่ทุกครั้งที่พบกัน พี่หนึ่งมักมีแต่ความรู้สึกที่ดีๆ และ ความอบอุ่นให้กับน้องๆและทุกคนในครอบครัวใหญ่ของเราเสมอ...แต่วันนี้ พี่หนึ่งไม่อยู่กับเราแล้ว...

ระหว่างนั่งมองปุยเมฆจากกรอบหน้าต่างของเครื่องบินที่พาแนนกลับบ้าน เพื่อไปเจอพี่หนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย แนนนึกสงสัยว่า พี่หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนปุยเมฆก้อนไหน หรือพี่หนึ่งยังไม่ขึ้นมาอยู่บนฟ้า เพราะเป็นห่วงพี่ปอ และ หลานต้นข้าวกับหลานต้นเทียร ครอบครัวอันเป็นดวงใจของพี่หนึ่ง พี่หนึ่งยังคงอยู่มองดูคนที่รักพี่หนึ่ง เศร้าเสียใจกับการยุติลมหายใจของพี่อยู่หรือไม่ พี่จะรับรู้หรือไม่ ว่าแม้แต่น้องคนนี้ซึ่งไม่ได้เจอพี่มากเท่ากับคนอื่นๆ เสียใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่เมื่อรู้ว่าพี่ไปจากพวกเราแล้ว แนนอยากให้พี่หนึ่งรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นน้องๆคนไหน หรือแม้แต่ใครก็ตามที่พี่แจกจ่ายความรักและความดีของพี่ให้กับพวกเขา พวกเขาก็รักพี่และต่างโศกเศร้าที่จะไม่ได้มองเห็นสิ่งดีๆที่พี่จะให้กับพวกเขาทุกๆวันอีกแล้ว...

อากาศช่วงสายของวันนี้ร้อนจริงๆ แนนเดินทางไปวัดกับพ่อและแม่ เพื่อไปเจอพี่หนึ่ง แต่การเจอกันของเราคราวนี้ ไม่เหมือนกับทุกๆครั้ง เพราะจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายของเรา และแนนจะไม่ได้ยินคำพูดตลกแซวเล่นของพี่หนึ่งเหมือนทุกครั้งอีก สิ่งที่แนนทำได้ ก็แค่จุดทุธหนึ่งดอก บอกกับพี่ว่า แนนมาแล้วนะพี่ แนนขอโทษที่ไมไ่ด้มาเร็วกว่านี้ แต่แนนก็มาแล้ว...แนนหวังว่าพี่จะรู้ จะมองเห็นแนน...แล้วน้ำตาที่กดเก็บไว้มันก็ทยอยไหลออกมา แต่แนนไม่อยากร้องไห้ ให้พี่ปอนด์และครอบครัวพี่เห็น เพราะถ้าเทียบความเสียใจที่ต้องเสียพี่ชายที่แสนดีคนนี้ไป กับคามเจ็บปวดของพี่ปอนด์ และ ครอบครัวของพี่ ที่เหมือนโดนควักหัวใจออกไปนั้น มันเทียบกันไม่ได้เลย.....

...เมื่อเราพาพี่หนึ่งขึ้นไปอยู่บนเมณแล้ว คนมากมายหลายสิบ มองด้วยตาก็นับได้ว่าเป็นร้อย หลั่งไหลมาที่ศาลาฟังธรรมแห่งนี้ ทุกคนพร้อมใจกันมา เพื่อส่งพี่เป็นครั้งสุดท้าย เช่นกันกับพวกเรา หลวงพ่อเทศก์ เรื่องความธรรมดาของชีวิตให้แขกที่มาฟัง พี่ปอนด์นั่งอยู่ข้างๆแนน พี่ปอนด์ตั้งใจฟังหลวงพ่อพูดมาก และยิ้มแย้ม แต่ก็ไม่อาจจะซ่อนแววตาที่แสนปวดร้าวเอาไว้ได้ หลวงพ่อบอกว่า พี่ปอนด์ต้องเป็นหญิงเหล็ก เพราะมีคุณหลานสองคนให้ดูแล ต้องเป็นพี่หนึ่งและพี่ปอนด์ในร่างเดียวกัน แนนเชื่อว่าพี่ปอนด์ทำได้นะ ถึงตอนนี้ตัวพี่ปอนด์เองอาจจะไม่มั่นใจ แต่แนนรู้ว่า พี่ปอนด์เกิดมาเพื่อคู่กับพี่หนึ่งอย่างแท้จริง และเมื่ออยู่ด้วยกัน สิ่งดีๆของทั้งพี่หนึ่งและพี่ปอนด์ก็ได้หล่อหลอมรวมกันในคนสองคน ต่อให้วันนี้ไม่มีพี่หนึ่งแล้ว พี่ปอนด์ก็มีพี่หนึ่งอยู่ในทุกลมหายใจ อยู่ในความรู้สึกทุุกๆวินาที...

...ช่วงเวลาที่โศกเศร้าที่สุด คือตอนที่พี่ปอนด์อ่านคำไว้อาลัยพี่หนึ่ง แนนมองพี่ปอนด์ กับใบหน้าและแววตาของคนที่หัวใจสลายนั้น ทำให้แนนเศร้าและร้องไห้ออกมาอีก ครั้งนี้ แนนคงไม่อาจจะกลั้นไว้ได้ เพราะถ้อยคำไว้อาลัยรักของพี่ปอนด์เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและอาลัยอย่างสุดซึ้ง รวมไปถึงครอบครัวของพี่ทุกคน แนนคิดเอาเองว่า พี่หนึ่งอาจจะยืนอยู่ไกล้ๆที่ไหนสักแห่ง และเฝ้าดูทุกๆคนอยู่เวลานี้ และรับรู้ความรู้สึกของทุกๆคนอยู่ ....... พี่หนึ่งคะ ไม่ว่าพี่จะอยู่ที่ไหน จะไปที่ไหน แนนอยากให้พี่รู้ว่า พี่จะไม่ตายไปจากพวกเรา ครอบครัวของเรา และเพื่อนๆของพี่ เพราะสิ่งดีๆที่พี่ให้กับทุกคน จะทำให้ทุกคนคิดถึงพี่ตลอดไปไม่มีวันลืม...ดูแลพี่ปอนด์และคุณหลาน ให้เข้มแข็ง ต่อสู้ไปด้วยกันให้ได้นะคะ

...สำหรับแนน จะคิดถึงพี่หนึ่ง พี่ชายที่น่ารักของน้องๆทุกคนตลอดไปเช่นกัน และ ถ้าชาติหน้ามีจริงอย่างที่ใครๆบอก แนนอยากให้พี่หนึ่งกลับมาเป็นพี่ชายแนนอีกนะคะ

ขอให้พี่หนึ่งมีความสุข ไม่ว่าพี่จะอยู่ที่ไหนก็ตาม....แล้วเจอกันค่ะ

ด้วยรักและอาลัย
แนน