Saturday, April 26, 2008

เรื่อง

1 ฉัน

ตั๋วรถโดยสารประจำทางสาย กรุงเทพ-เชียงใหม่ ที่ฉันเก็บไว้ในสมุดที่ฉันใช้สำหรับบันทึกเรื่องราวต่างๆของฉันยังดูใหม่ เหมือนเพิ่งซื้อมาเมื่อวาน...แต่อันที่จริง มันผ่านมาได้ร่วมปีแล้ว ที่ฉันตัดสินใจขับรถเลี้ยวเข้าไปที่สถานีขนส่งหมอชิตและควักเงินซื้อตั๋วไปเชียงใหม่ อย่างรวดเร็ว เพื่อไปหาใครคนหนึ่ง ที่ฉันเพิ่งรู้จักเขาได้เพียง ไม่ถึงเดือน...

ราวหนึ่งปีที่แล้ว ฉันเพิ่งเรียนจบ และทำงานได้แค่หกเดือน ทุกสิ่งทุกอย่างยังเหมือนสิ่งใหม่สำหรับฉัน ฉันเหมือนกับผีเสื้อที่เพิ่งแยกตัวออกจากดักแด้ แต่ยังไม่รู้จะบินไปที่ไหน ฉันค่อยๆเรียนรู้และปรับตัวให้ชินกับสถานะใหม่ของตัวเอง และบอกตัวเองว่า นี่คือของจริง ที่ผ่านมานั้นเป็นเหมือนการฝึกฝน แต่วันนี้ เราต้องแสดงจริง และเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ฉันมักรู้สึกว่า ชีวิตมีอะไรให้ตามหาอยุ่เสมอ และตัวฉันเองก็เป็นพวกชอบตามหาและลิ้มลองสิ่งใหม่ๆเสียด้วย ฉันดีใจที่ฉันได้เลือกเรียนศิลปะที่ฉันรัก ถึงแม้มันจะทำให้ใครๆในครอบครัวต้องหงุดหงิดไปบ้าง แต่ฉันได้ภูมิใจและมั่นใจว่าฉันได้เป็นตัวของฉันเองอย่างมั่นคง ฉันเป็นแบบนี้ มีทั้งในด้านดีและไม่ดี ด้านไม่ดีก็คือ ฉันเป็นคนหัวแข็งและดื้อมาก คุณคงแปลกใจว่าทำไมฉันถึงได้พูดเต็มปากว่าฉันเป็นแบบนั้น แต่ก่อน ฉันเองก็ไม่รู้หรอก ออกแนวไม่ยอมรับด้วยซ้ำ แต่หลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา หลายๆบาดแผลจากความผิดพลาดและความเจ็บปวด มันทำให้ฉันรู้ว่า ฉันเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ หรือว่านี่เอง ที่เรียกว่า สันดาร โรคที่แก้ไม่หาย และไม่ได้เกิดจากกรรมพันธ์...ชีวิตฉันปลี่ยนไปนิดหน่อย จากเคยนอนตื่นสาย ทำแต่งานส่งอาจารย์ ตกเย็นเที่ยวเตร กินเหล้ากับเพื่อน ไม่มีภาระอะไร เปลี่ยนเปน ต้องตื่นให้เช้า และไปทำงานจันทร์ ถึง ศุกร์ งานของฉัน มีเวลาเข้าออกที่ไม่แน่นอนนัก บางครั้งก็ต้องกลับดึกๆ แต่ฉันก็สนุกและภูมิใจกับมัน ถึงแม้ว่าทุกๆคนในครอบครัวของฉันจะไม่มีใครชอบเลย เพราะคิดว่ามันเป็นงานหนักและได้เงินน้อย ฉันไม่เถียงพวกเขาสักคำ เพราะมันจริง แต่สำหรับตัวฉัน ฉันเลือกความพึงใจมากกว่า ฟังดูเหมือนฉันไร้ความรับผิดชอบและเอาแต่ใจใช่ใหม่ล่ะ ใช่ ฉันคงจะเป็นแบบนั้นจริง หากคุณไม่เข้าใจในตัวฉัน..ด้วยนิสัยแบบนี้เอง มันส่งผลกระทบกับชีวิตรักของฉันด้วย นอกจากฉันจะเป็นตัวฉันเอง หัวแข็ง และไม่ยอมใครแล้ว ฉันยังเป็นคนมีจินตนาการณ์สวยงามในเรื่องความรัก และ มีความคาดหวังกับมันอย่างสูง ชายทุกคนที่ฉันคบด้วย ส่งนมากเป็นคนคล้ายๆกับฉัน พวกเขาเรียนศิลปะ เป็นศิลปิน เป็นผู้กำกับ ฉันมักคบกับผู้ชายแนวๆนี้เพราะคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่อง และมองโลกไปในทิศทางเดียวกัน..แต่มันก็ไม่ได้รวมเรื่องความรักเข้าไปด้วยเสมอไป ฉันผิดหวังกับความรักมาหลายต่อหลายครั้ง และทุกๆครั้ง มันยังคงเจ็บปวดและทรมารไม่เคยลดน้อยลง คุณอาจจะคิดว่าฉันแข็งแรงและเจนโลก..แต่เปล่าเลย ฉันยังคงร้องไห้เหมือนคนเสียสติ โผเข้ากอดแม่ที่ร้องไห้เพราะเห็นน้ำตาของฉันทุกๆครั้ง ที่ซมซานกลับมา ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังไม่เคยหมดหวังกับความรักเลย ถึงแม้ว่าความรักจะทำให้หัวใจของฉันบวมช้ำมามากเหลือเกิน..
ในช่วงเวลาหนึ่ง ฉันได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่แสนดี เขาอายุมากกว่าฉันเกือบสิบปี เป็นผู้ใหญ่ สุภาพ และมีเหตุผล เขาดีกับฉันมาก ดีกับครอบครัวฉัน ช่วยเหลือฉันในวันที่ฉันเดือนร้อนในทุกๆเรื่อง เค้าเหมือนพ่อพระสำหรับฉัน ฉันคิดว่าฉันรักเขามาก และรู้ว่าเขาก็รักฉันเช่นกัน..แต่คุณเคยได้ยินใหม ความรักอย่างเดียวมันไม่พอ มันต้องมีองค์ประกอบอื่นๆด้วย ฉันไม่เคยเชื่อเท่าไหร่นัก จนมาถึงวันที่ฉันถามเขาว่า เรายังรักกันเหมือนเดิมอยู่รึเปล่า แล้วเขาไม่อาจให้คำตอบฉันได้ ฉันเข้าใจทันที นี่แหละเขา คนที่พยายามทำในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ และละอายต่อสิ่งที่คิดว่าไม่ถูกต้อง อย่างเช่นตอนนี้ ที่เขาคิดว่า การที่จะบอกกับฉันว่า เขาไม่แน่ใจแล้วว่าตลอดสามปีที่เราคบกันมา จนถึงวันนี้ เรายังรักกันเหมือนเดิมอยู่รึเปล่านั้น เป็นสิ่งผิด..ฉันบอกเขาว่าไม่เป็นไร ทั้งๆที่ใจปวดร้าวและสั้นสะท้าน แต่ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เพราะฉันเสียใจและอยากรั้งเขาไว้ แต่เป็นเพราะฉันเข้าใจดีว่าเขารู้สึกอย่างไร เพราะฉันก็รู้สึกเหมือนเขา เราต่างคนต่างผิดหวัง ที่เราไม่สามารถเดินไปด้วยกันได้อีก ทั้งๆที่ยังมีความรักและหวังดีต่อกัน แต่เพราะฉันกับเขา ต่างกันคนละขั้ว เราต่างรู้ข้อนี้มานานแล้ว แต่เราก็ยังทนฝืนและพยายามที่จะปรับตัวเผื่อว่าอะไรมันจะดีขึ้น แต่ไม่มีใครทนฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการได้นาน โดยเฉพาะฉัน ดังนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันพยายามเป็นตัวเองและพยายามทำให้เขายอมรับในตัวตนของฉัน และเขาก็พยายามทำมัน แต่มันไม่ได้ผล...หากคุณนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงคนที่ซื้อของในพาราก้อนเท่านั้น กับ คนที่นิยมเดินสวนและคิดว่าพาราก้อนเป็นแค่ห้องแอร์เอาไว้คลายร้อน ไม่ได้มีไว้ซื้อของ..ทัศนะคติเราต่างกันสุดขั้วทุกเรื่อง ฉันชอบดำ เขาชอบขาว ฉันเที่ยวกลางคืน สังสรร และเสพติดบรรยากาศในวงเหล้าของเพื่อนฝูงและการสนทนากัยเพื่อนที่จริงใจต่อกัน แต่เขาชอบทำงาน และคิดว่าการนั่งฟังดนตรีดีๆกินเหล้ากับเพื่อนฝูงบ้าง เป็นเรื่องไร้สาระและเปลืองเวลา เขารักพระเจ้า ฉันศรัทธาคำของพระพุธทเจ้าที่บอกว่าอย่าเชื่อท่านจงรู้แจ้งด้วยตัวเอง..เราทนฝืนกันมาจนสุดทาง เขากลัวว่าฉันจะเจ็บปวด ฉันกลัวว่าเขาจะเคว้งคว้าง เราห่างเหินกันมานานแล้ว ไม่มีทั้งสัมพันธ์ และ สัมผัสรัก แต่เราก็ยังพยายามคิดอยู่เสมอ ว่าเรายังรักกัน ในที่สุด ความรักสามปีกว่าๆของฉัน ที่ฉันเคยคิดว่ามันคือครั้งสุดท้าย ก็จบลง ฉันเพิ่งรู้ว่ามันจบลงมานานแสนนานแล้ว เพียงแต่เรายังไม่ยอมรับมัน..

รถเที่ยว เจ็ดโมงครึ่งออกเดินทางจากสถานีย์ขนส่งหมอชิต พนักงานต้อนรับในรถแจ้งให้ผู้โดยสารทราบว่า เราจะถึงเชียงใหม่ประมาณสี่โมงครึ่ง และเราจะพักกินข้าวกันที่ไหน ฉันนั่งมองไปนอกหน้าต่าง และถามตัวเองว่า กำลังทำอะไรอยู่ ปลายทางที่ฉันกำลังจะไปพบ คือผู้ชายที่ฉันเพิ่งเจอเขาได้ไม่นานและเราได้พบกันในงานปารตี้ของพี่คนหนึ่งซึ่งเคยเป็น บ.ก.ของหนังสือชื่อดัง เราทำงานในวงการหนังสือเหมือนกัน เรามีตำแหน่งหน้าที่เดียวกัน เราพบกันเพราะเรื่องงาน หลังจากที่เราคุยกันมาสักพัก ฉันยอมรับว่าฉันรู้สึกดีและพิเศษกับตัวอักษรที่เขาพูดคุยกับฉันผ่านอินเตอร์เนต และฉันคิดว่าเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เราคุยกันหลายเรื่อง เขาอยู่เชียงใหม่ ฉันอยู่กรุงเทพ ฉันรักเชียงใหม่ เขาสนใจกรุงเทพ เราไม่ค่อยได้คุยเรื่องส่วนตัวกันมากนัก แต่ฉันก็พอรู้ว่าเขาอาจจะคบใครคนหนึ่งอยู่ เหตุผลข้อนี้เองที่ทำให้ฉันไม่แสดงออกถึงความรู้สึกทั้งหมดที่มี เพราะฉันรู้ว่าถึงอย่างไร ฉันคงเป็นเพียงเพื่อนคุยที่เข้ากันได้ดีหรือมากกว่านั้น แต่อินเตอร์เนตคือโลกแห่งความฝัน สุดท้าย เมื่อเราปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วหันหลังให้มัน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือความจริง สิ่งที่เราต้องอยู่กับมัน
วันที่ฉันเห็นเขาครั้งแรก เป็นวันที่ฉันตื่นเต้นมาก ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มานานแล้ว ความรู้สึกเหมือนนัดเดทครั้งแรก สมัย ม.3 ฉันเคยเห็นเขาจากรูปถ่ายที่เราส่งให้กัน แต่วันนี้ฉันจะได้เจอเขาตัวเป็นๆ ..นั่นไง เขานั่งอยู่ตรงนั้น ในมือคีบบุหรี่และแก้วเหล้า เขาเป็นผู้ชายธรรมดา หน้าตาดี ผิวขาวแบบคนเหนือ สวมกางเกงยีนส์ขากระบอกเล็กกับเสือลายขวาง เขาดูเหมือนในภาพจะต่างก็ตรงที่ หนวดเคราที่ดูมีเสน่ห์แบบเซอร์ๆอย่างที่ฉันชอบหายไป คงจะเพิ่งโกนมา ฉันทักเขาด้วยการยื่นกล้องใส่หน้าเขาแล้วกดชัตเตอร์หนึ่งครั้ง เป็นวิธีเสร่อๆที่ฉันคิดได้อย่างเดียวในตอนนั้นเพื่อกลบความประหม่าของตัวเอง เขายิ้ม ฉันยิ้ม เรารู้กัน เมื่อปาร์ตี้เลิก ฉันอาษาไปส่งเขาที่บ้านของเจ้านายเขาที่เขาพักอยู่ แถวอ่อนนุช วันนั้นฝนตกเป็นพายุ เราหลงทางอยู่นานกว่าจะหาบ้านเจอ เมื่อไปถึง ทุกคนเมาหลับไปแล้ว ส่วนฉัน ที่เมาไม่น้อยยังนั่งรอให้ฝนซาสักพักอยู่กับเขาที่นอกชาน เราไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก ไม่เหมือนตอนที่เราคุยโทรศัพท์หรือคุย เอ็มเอสเอ็น เรามองตากันไปมาแล้วก็ยิ้ม เมื่อฝนซาลงแล้ว ฉันจึงบอกเขาว่าฉันจะกลับบ้าน เขาส่งฉันที่ประตูรถ ฉันบอกเขา ว่าเราจะได้เจอกันอีก เขายิ้ม หน้าเราไกล้กันมาก ฉันเอียงตัวแล้วจูบที่แก้มของเขาหนึ่งครั้ง ฉันเป็นแบบนี้อีกแล้ว เมื่อใจสั่งให้ทำฉันก็ทำทันทีโดยไม่ได้คิดก่อนว่าฉันจะกลายเป็นอีใจง่ายอ่อยผู้ชายหรือไม่ แต่ฉันก็ไม่ค่อยแคร์เท่าหรอก ในทันใดเขาก็ทำเช่นเดียวกันคืนให้ฉัน ฉันหน้าแดงและร้อนผ่าว เรานัดกันว่าพรุ่งนี้เราจะไปเจอกันที่สวนจัตุกร และฉันก็ขับรถกลับบ้านพลางนึกถึงเพลงพี่เซกโลโซ "เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอนสิบสี่ ตอนที่ฉันมีแฟนคนแรก" แล้วค่อยๆสลัดพี่เสกออกไป นึกถึงจูบแรกที่แก้มซ้ายของฉัน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนหลับตานอนฉันคิดถึงวันพรุ่งนี้..มันจะเป็นอย่างไรต่อไปนะเพราะฉันไม่มีความสามารถในการระงับความรู้สึกใดใด หากปล่อยใจไปแล้ว มันคงต้องไหลไปตามน้ำ และคืนนี้ ใจของฉันได้ถูกดูดออกไปพร้อมกับริมฝีอุ่นๆของเขาแล้ว..

รถโดยสารจอดพักให้ผู้โดยสารพักทานอาหาร ฉันเลือกกาแฟโบราณหนึ่งแก้วกับบุหรี่สองตัว ครึ่งทางแล้วสินะ มาถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่มีอะไรต้องลังเลใจอีก ฉันตัดสินใจทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ หากต้องเจ็บปวด ฉันก็จะยอมรับความเจ็บปวดนั้น ด้วยความยินดี

ปลายทางโทรมาถาม..อยุ่ไหนแล้ว,,ไม่รู้สิ ที่เขาแวะกินข้าวกัน ,,มีเสียงถอนหายใจแผ่วเบา และนำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่ายิ้มอยู่..
...อีกไม่ไกลแล้วนะ จะได้เจอกัน เราจะรอรับนะ,, เวลาที่รู้ว่า มีใครรอเราอยู่ปลายทาง มันช่างให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและชื่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆนะ..

..............................................